วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นิทานเซียงเมี่ยง

ชื่อเดิมของศรีธนชันั้นคือ เชียงเมี่ยง บางท่านอาจจะยังไม่รู้ ซึ่งเนื้อหา
ที่จะเอามานำเสนอนี้ เป็นเพียงบางส่วนของนิทานโดยที่ผมจะพยายามรวบรวมให้มากที่สุดและให้
เพื่อนๆได้อ่านเป็นตอนๆไปแต่อาจจะไม่ได้เรียงตอนตามตำรานิทาน แต่ผมจะจับมาเรียงใหม่
ตามแบบฉบับของผู้ดี เพื่อความสะดวกครับ ซึ่งบางบทความที่ชายค้นเจอมาเป็นภาษาพื้นบ้าน
ของทางอีสานเค้านะครับ บางคำผมอาจจะไม่รู้ เพราะมันไม่ใช่ภาษาที่บ้านชายใช้นะครับ



ตอนที่ 1 กำเนิดเชียงเมี่ยง

ยังมีเมืองใหญ่กว้างขวางเมืองหนึ่ง ชื่อว่าเมือง ทวาลี มีพญาทวาละ เป็นเจ้าเมือง
มีมเหสีชื่อ สุวรรณบุปผา ก็ได้ปกครองเมืองมา สงบสุข ร่มเย็น ชาวเมืองสุขถ้วนหน้า
และในเมืองทวาลีนั่นเอง ก็มีผู้ชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า หมั่นตั้น กับผู้หญิงชื่อว่า นางปลี 
แต่งงานอยู่กินกันมาหลายปีดีดัก ก็ยังไม่มีลูก จนอยู่มาวันหนึ่ง ตอนกลางคืน นางปลี
นอนหลับและฝันว่า ตนนั้น หิวข้าง จึงเดินไปหาเก็บ ขี้หลักเหยี่ย(อันนี้ผมไม่รู้ว่าอะไรนะฮะ..ผู้รู้ช่วยแปลหน่อยละกัน)
กินจนอิ่ม สะดุ้งตื่นขึ้นมา ก็ประหลาดใจยิ่งนัก เลยไปหาพราห์มเฒ่า แถวๆนั้น และเล่า
ความฝันให้ท่านพราห์มฟังว่า ''ข้าน้อยได้เดิน เลาะเก็บหยากไย่ ขี้หลักเหยี่ย กินจนอิ่มท้อง ฝันแบบนี้
มันจะเกิดอะไรหรือมีความหมายว่าอย่างไรท่าน'' พราห์มเฒ่าก็ได้ทำนายความฝันนั้นว่า
''เจ้าจักมีลูกชาย ซึ่งเป็นผู้มีบุญยาธิการ มีปัญญาล้ำเลิศ กว่าชาวบ้านทั่วทั้งแผ่นดิน เป็นคนฉลาดหลักแหลม''
หลังจากนั้นอีกไม่นาน นางปลี ก็ได้ท้องและคลอดออกมาเป็นผู้ชายจริงดังคำทำนาย จึงได้ตั้งชื่อลูกชายไว้ว่า
''เมี่ยง'' และนี่คือกำเนิดของผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงขจรไกล ในเวลาต่อมานั่นเอง
ศรีธนญชัย

ตอนที่ 2 ล้างไส้ เอาขี้ไก่ออก

หลังจากเชียงเมี่ยงได้เติบใหญ่ พ่อแม่ก็ได้เลี้ยงดูฟูมฟักมาเป็นอย่างดี จนอายุได้ประมาณ 7 ขวบ นางปลี ก็ได้
ให้กำเนิดลูก ซึ่งเป็นเพศชายเหมือนกัน ฉะนั้นยามที่พ่อและแม่ต้องไปทำนา เชี่ยงเมี่ยงก็ต้องเป็นคนดูแลน้อง
คอยไกวเปลน้อง ทำหน้าที่พี่ชายได้เป็นอย่างดี อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกับแม่ก็ไปทำนา และให้เชียงเมี่ยงดูแลน้องเหมือนเช่นเคย
น้องก็พอจะเดินได้บ้างแล้ว ก็พากันไปเล่นดิน เล่นฝุ่น เกลือกดิน เกลือกขี้ไก่ เกลือกขี้หมา จนตัวดำปิ๊ดปี๋ สกปรกมอมแมม
เล่นไปเล่นมาจนน้องชายเหนื่อยล้า น้องชายก็เลยนอนหลับทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำ ในใจเชียงเมี่ยงก็คิดในใจว่า ''เฮ่อ..ไม่อาบน้ำให้มันแล้ว
ขี้เกียจ เล่นกับมันก็ดีแค่ไหนแล้ว'' นึกแล้วเชียงเมี่ยงก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำสบายตัว ''อาบแล้วค่อยมานอนหลับ''เชียงเมี่ยงคิด........พอตกเย็นมา
พ่อกลับแม่กลับจากทำนา เห็นตัวน้องเล็ก เปื้อนขี้ เปื้อนเยี่ยว เลอะเทอะมอมแมม ก็เลยตะโกนเรียกเชียงเมี่ยงมากล่าวตักเตือนว่า
''เมี่ยงเอ๊ยย เอ็งดูน้องเอ็งยังไง ถึงปล่อยให้น้องสกปรกเลอะเทอะขนาดนี้ ทำไมไม่อาบน้ำให้น้อง 
ถ้าวันไหนน้องเลอะเทอะ มอมแมมแบบนี้ ต้องล้างน้องให้สะอาด ให้เกลี้ยง ทุกซอกทุกมุมนะ''.... ''เอ้อ เอ้อ''
เชียงเมี่ยงรับคำ และก็เหมือนเคยพ่อกับแม่ก็ออกไปทำนา เชียงเมี่ยงก็เลี้ยงน้องดูแลน้องเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ
แล้วก็เล่นกับน้องจนสกปรกเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ แถมน้องยังหยิบขี้ไก่กินอีกตะหาก เชียงเมี่ยงก็ได้รับปากพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าถ้าน้องสกปรก 
ต้องล้างให้สะอาดให้เกลี้ยง เชียงเมี่ยงก็เลยพาน้องไปอาบน้ำ ถูจนขี้ไคล ขี้ดิน ขี้หมา ขี้ไก่ ออกหมดแล้ว
สะอาดหมดจดก็นึกในใจอีกว่า ''เอ น้องกินขี้ไก่เข้าไปในท้องนี่หว่า'' เชียงเมี่ยงก็เลยเอามีดปาดท้อง เปิดท้องเอาไส้น้องออกมา 
ล้างเหมือนล้างไส้ไก่ มันอยากจะล้างเอาขี้ไก่ออกให้หมด จัดการเรียบร้อย มันก็ยัดไส้น้องกลับคืนที่เดิมของมัน 
แล้วก็เอาน้องมานอนไว้ในเปลญวนไกวเปล ส่วนน้องก็นอนตายอยู่ในเปล มันก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
เฮ่อ...พ่อแม่กลับมาจะเป็นยังไงบ้างน้อ



ตอนที่ 3 บวชเณร

พ่อกลับแม่ กลับจากนา เห็นน้องนอนอยู่ในอู่ ก็นึกว่านอนหลับ เลยไม่ทันได้เอะใจ จนเวลาผ่านไป นาน พ่อก็สงสัยว่า ทำไมถึงนอนหลับนานจนผิดปกติ
จึงเดินไปเปิดผ้าห่มออก ก็เห็นท้องมีรอยขาด ลูกตายแล้ว!!!!!! สร้างความเสียใจให้พ่อกับแม่เป็นอย่างมาก ตะโกนเรียกเชียงเมี่ยงมาด่า เชียงเมี่ยงก็แก้ตัวว่า
ต้องการล้างขี้ไก่ออกจากไส้น้องให้มันสะอาด ตามที่ได้รับปากไว้ ไม่คิดว่าน้องจะตาย พ่อกับแม่อดรนทนไม่ไหว ไม่ต้องการให้เชี่ยงเมี่ยงอยู่ในบ้าน
ก็เลยไล่เชียงเมี่ยงออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนนั้น เชียงเมี่ยงถูกขับไล่ออกจากบ้าน เดินซมซานหาที่พักพิง เดินเลาะตามบ้านญาติพี่น้อง หาที่อยู่ 
ซึ่งญาติก็รู้เหตุการณ์ทั้งหมดแล้วไม่มีคนไหนรับให้อาศัยอยู่ในบ้าน เชียงเมี่ยงจึงซมซานดั้นด้นเดินทางต่อ จนมาพบกับ สมภารเฒ่า อยู่วัดหลวง 
เชียงเมี่ยงจึงเดินเข้าไปในวัด ขอพักอาศัยอยู่กับหลวงพ่อ เป็นเด็กวัด กินข้าวก้นบาตร ช่วยเหลืองานวัด ปัดกวาดกุฏิ ลานวัด รับบาตร ล้างบาตร ล้างถ้วยชาม 
หลวงพ่อเห็นว่า อายุก็พอจะบวชได้แล้ว ก็เลยจัดการบวชเณรให้เชียงเมี่ยง
ก็เลยกลายเป็นเณรเมี่ยง ก็ได้ร่ำเรียน เขียนภาษาบาลี หนังสือธรรม ตัวหนังสือไทยน้อย ซึ่งเณรเมี่ยงเป็นคนฉลาด จึงเรียนรู้ได้เร็ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น